วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เผด็จเรื่องนางปติปูชิกา




๔. เรื่องนางปติปูชิกา [๓๖]

 [ข้อความเบื้องต้น]

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภหญิงชื่อปติปูชิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ปุปฺผานิเหว เป็นต้น. เรื่องตั้งขึ้นในดาวดึงสเทวโลก.

[เทพธิดาจุติแล้วเกิดในกรุงสาวัตถี]

 ได้ยินว่า เทพบุตรนามว่ามาลาภารี ในดาวดึงสเทวโลกนั้น มีนางอัปสรพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เข้าไปสู่สวน. เทพธิดา ๕๐๐ ขึ้นสู่ต้นไม้ ยังดอกไม้ให้ตกอยู่. เทพธิดา ๕๐๐ เก็บเอาดอกไม้ที่เทพ-ธิดาเหล่านั้นให้ตกแล้ว ประดับเทพบุตร. บรรดาเทพธิดาเหล่านั้นเทพธิดาองค์หนึ่ง จุติบนกิ่งไม้นั้นนั่นแล. สรีระดับไป ดุจเปลวประทีปนางถือปฏิสนธิในเรือนแห่งตระกูลหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี ในเวลาที่นางเกิดแล้ว เป็นหญิงระลึกชาติได้ ระลึกอยู่ว่า เราเป็นภริยาของมาลาภารีเทพบุตร ถึงความเจริญ กระทำการบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ปรารถนาการเกิดเฉพาะในสำนักสามี. นางแม้ไปสู่ตระกูลอื่น ในเวลามีอายุ ๑๖ ปี ถวายสลากภัต ปักขิกภัตและวัสสาวาสิกภัตเป็นต้นแล้ว ย่อมกล่าวว่า ส่วนแห่งบุญนี้ จงเป็นปัจจัยเพื่อประโยชน์แก่อันบังเกิดในสำนักสามีของเรา. พระมหาฮั้ว ป. ธ. ๕. วัดบวรนิเวศวิหาร แปล.

[จุติจากมนุษยโลกแล้วไปเกิดในสวรรค์]

ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายทราบว่า นางนี้ ลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้ว ย่อมปรารถนาผัวเท่านั้น จึงขนานนามของนางว่า ปติปูชิกา. แม้นางปติปูชิกานั้น ย่อมปฏิบัติโรงฉัน เข้าไปตั้งน้ำฉัน ปูอาสนะเป็นนิตย์. มนุษย์แม้พวกอื่น ใคร่เพื่อจะถวายสลากภัตเป็นต้น นำมามอบให้ด้วยคำว่า แม่ ท่านจงจัดแจงภัตแม้เหล่านี้ แก่ภิกษุสงฆ์. แม้นางเดินไปเดินมาอยู่โดยทำนองนั่น ได้กุศลธรรม ๕๖ ทุกย่างเท้านางตั้งครรภ์แล้ว. นางก็คลอดบุตร โดยกาลอันล่วงไป ๑๐ เดือน. ในกาลที่บุตรนั้นเดินได้ นางได้บุตรแม้อื่น ๆ รวม ๔ คน. ในวันหนึ่งนางถวายทาน ทำการบูชา ฟังธรรม รักษาสิกขาบท ในเวลาเป็นที่สุดแห่งวัน ก็ทำกาละด้วยโรคชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งบังเกิดขึ้นในขณะนั้นแล้วบังเกิดในสำนักสามีเดิมของตน.

[อายุของมนุษย์ประมาณ ๑๐๐ ปี]

 ฝ่ายนางเทพธิดานอกนี้ กำลังประดับเทพบุตรอยู่นั่นเอง ตลอดกาลเท่านี้. เทพบุตรเห็นนางนั้นกล่าวว่า เธอหายหน้าไปตั้งแต่เช้า, เธอไปไหนมา ? เทพธิดา. ดิฉันจุติค่ะ นาย. เทพบุตร เธอพูดอะไร ? เทพธิดา. ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ นาย. เทพบุตร. เธอเกิดแล้วในที่ไหน ? เทพธิดา. เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกรุงสาวัตถี. เทพบุตร. เธอดำรงอยู่ในกรงสาวัตถีนั้นสิ้นกาลเท่าไร ?

 เทพธิดา. ข้าแต่นาย ดิฉันออกจากท้องมารดา โดยกาลอันล่วงไป ๑๐ เดือน ในเวลาอายุ ๑๖ ปี ไปสู่ตระกูลผัว คลอดบุตร ๔ คนทำบุญมีทานเป็นต้น ปรารถนาถึงนาย มาบังเกิดแล้วในสำนักของนายตามเดิม. เทพบุตร. อายุของมนุษย์มีประมาณเท่าไร ? เทพธิดา. ประมาณ ๑๐๐ ปี. เทพบุตร. เท่านั้นเองหรือ ? เทพธิดา. ค่ะ นาย เทพบุตร. พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณเท่านี้เกิดแล้ว เป็นผู้ประมาทเหมือนหลับ ยังกาลให้ล่วงไปหรือ ? หรือทำบุญมีทานเป็นต้น ? เทพธิดา. พูดอะไร นาย, พวกมนุษย์ประมาทเป็นนิตย์ ประหนึ่งถือเอาอายุตั้งอสงไขยเกิดแล้ว ประหนึ่งว่าไม่แก่ไม่ตาย. ความสังเวชเป็นอันมาก ได้เกิดขึ้นแก่มาลาภารีเทพบุตรว่าทราบว่า พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณ ๑๐๐ ปีเกิดแล้ว ประมาทนอนหลับอยู่, เมื่อไรหนอ ? จึงจักพ้นจากทุกข์ได้.

[๑๐๐ ปีของมนุษย์เท่า ๑ วันในสวรรค์]

ก็ ๑๐๐ ปีของพวกเรา เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของพวกเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์, ๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้น เป็นเดือนหนึ่ง, กำหนดด้วย ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น เป็นปีหนึ่ง, ๑๐๐๐ ปีทิพย์ โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์. ๑๐๐๐ ปีทิพย์นั้น โดยการนับในมนุษย์เป็น ๓ โกฏิ ๖ ล้านปี. เพราะฉะนั้น แม้วันเดียวของเทพบุตรนั้น (ก็) ยังไม่ล่วงไปได้เป็นกาลเช่นครู่เดียวเท่านั้น. ขึ้นชื่อว่าความประมาท ของสัตว์ผู้มีอายุน้อย อย่างนี้ ไม่ควรอย่างยิ่งแล. ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุเข้ไปสู่บ้าน เห็นโรงฉันอันไม่ได้จัดอาสนะยังไม่ได้ปู น้ำฉันยังไม่ได้ตั้งไว้ จึงกล่าวว่า นางปติปูชิกาไปไหน ? ชาวบ้าน. ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจักเห็นนาง ณ ที่ไหน ? วันวานนี้ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าฉันแล้ว (กลับ) ไป, นางตายในตอนเย็น. ภิกษุปุถุชนฟังคำนั้นแล้ว ระลึกถึงอุปการะของนางนั่น ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้, ธรรมสังเวชได้เกิดแก่พระขีณาสพ. ภิกษุเหล่านั้นทำภัตกิจแล้ว ไปวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสิกาชื่อปติปูชิกา ลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้ว ทำบุญมีประการต่างๆ ปรารถนาถึงสามีเท่านั้น, บัดนี้ นาง ตายแล้ว (ไป)เกิด ณ ที่ไหน ?

พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย นางเกิดในสำนักสามีของตนนั่นแหละ.

ภิกษุ. ในสำนักสามี ไม่มี พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย นางปรารถนาถึงสามีนั่น ก็หามิได้, มาลาภารีเทพบุตร ในดาวดึงสพิภพ เป็นสามีของนาง, นางเคลื่อนจากที่ประดับดอกไม้ของสามีนั้นแล้ว ไปบังเกิดในสำนักสามีนั้นนั่นแลอีก.

ภิกษุ. ได้ยินว่า อย่างนั้นหรือ ? พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย.

ภิกษุ. น่าเวช ! ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อย (จริง) พระเจ้าข้าเช้าตรู่ นางอังคาสพวกข้าพระองค์ ตอนเย็น ตามด้วยพยาธิที่เกิดขึ้น.

พระศาสดา. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อย (จริง), เหตุนั้นแล มัจจุผู้กระทำซึ่งที่สุด ยังสัตว์เหล่านี้ ซึ่งไม่อิ่ม ด้วยวัตถุกาม และกิเลสกามนั่นแล ให้เป็นไปในอำนาจของตนแล้ว ย่อมพาเอาสัตว์ที่คร่ำครวญ ร่ำไรไป ดังนี้แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :- มัจจุ ผู้ทำซึ่งที่สุด กระทำนระผู้มีใจข้องใน อารมณ์ต่าง ๆ เลือกเก็บดอกไม้อยู่เทียว ผู้ไม่ อิ่มในกามทั้งหลายนั่นแล สู่อำนาจ.

[แก้อรรถ]

 บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตความว่า ผู้มัวเลือกเก็บดอกไม้คือกามคุณทั้งหลาย อันเนื่องด้วยอัตภาพ และเนื่องด้วยเครื่องอุปกรณ์อยู่ เหมือนนายมาลาการ เลือกเก็บดอกไม้ต่างชนิดอยู่ในสวนดอกไม้ ฉะนั้น.

บาทพระคาถาว่า พฺยาสตฺตมนสนร ความว่า ผู้มีจิต ซ่านไปโดยอาการต่าง ๆ ในอารมณ์อันยังไม่ถึงแล้ว ด้วยสามารถ แห่งความปรารถนา ในอารมณ์ที่ถึงแล้ว ด้วยสามารถแห่งความยินดี.

บาทพระคาถาว่า อติตฺตเยว กาเมสุ ความว่า ผู้ไม่อิ่มในวัตถุกามและกิเลสกามทั้งหลายนั่นแล ด้วยการแสวงหาบ้าง ด้วยการได้เฉพาะบ้าง ด้วยการใช้สอยบ้าง ด้วยการเก็บไว้บ้าง.

บาทพระคาถาว่า อนฺตโก กุรุเต วส ความว่า มัจจุผู้ทำซึ่งที่สุด กล่าวคือมรณะ พานระผู้คร่ำครวญ ร่ำไร ไปอยู่ ให้ถึงอำนาจของตน.

ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น, เทศนา มีประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.

เรื่องนางปติปูชิกา จบ.

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น