วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เผด็จเรื่องนางจิญจมาณวิกา (ภาค๖)




๙. เรื่องนางจิญจมาณวิกา [๑๔๕]

 [ข้อความเบื้องต้น]

 พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางจิญจมาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า เอกธมฺมมตีตสฺส เป็นต้น.

[พวกเดียรถีย์ริษยาพระพุทธศาสนา]

 ความพิสดารว่า ในปฐมโพธิกาล เมื่อสาวกของพระทศพลมีมากหาประมาณมิได้, เมื่อพวกเทวดาและมนุษย์หยั่งลงสู่อริยภูมิ, เมื่อพระคุณสมุทัยของพระศาสดาแผ่ไปแล้ว, ลาภสักการะเป็นอันมากเกิดขึ้นแล้ว. พวกเดียรถีย์ เป็นผู้เช่นกับแสงหิ่งห้อยในเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น เป็นผู้เสื่อมลาภสักการะ. พวกเดียรถีย์เหล่านั้น ยืนในระหว่างถนน แม้ประกาศให้พวกมนุษย์รู้แจ้งอยู่อย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเท่านั้นหรือ เป็นพระพุทธเจ้า, แม้พวกเราก็เป็นพระพระพุทธเจ้า; ทานที่เขาให้แล้วแก่พระสมณโคดมนั้นเท่านั้นหรือ มีผลมาก, ทานที่เขาให้แล้วแม้แก่เราทั้งหลายก็มีผลมากเหมือนกัน; ท่านทั้งหลาย จงให้ จงทำ แก่เราทั้งหลายบ้าง ดังนี้แล้ว ไม่ได้ลาภ-สักการะแล้ว ประชุมคิดกันในที่ลับว่า พวกเรา พึงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ในระหว่างมนุษย์ทั้งหลาย พึงยังลาภสักการะให้ฉิบหาย โดยอุบายอะไรหนอแล ? กาลนั้น ในกรุงสาวัตถี มีนางปริพพาชิกาคนหนึ่ง ชื่อว่าจิญจมาณวิกา เป็นผู้ทรงรูปอันเลอโฉมถึงความเลิศด้วยความงาม เสมือนนางเทพอัปสรฉะนั้น. รัศมีย่อมเปล่งออกจากสรีระของนางนั้น.

[นางจิญจมาณวิการับอาสาพวกเดียรถีย์]

ลำดับนั้น เดียรถีย์ผู้มีความรู้เฉียบแหลมคนหนึ่ง กล่าวอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายอาศัยนางจิญจมาณวิกา พึงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ยังลาภสักการะ (ของเธอ) ให้ฉิบหายได้. เดียรถีย์เหล่านั้น รับรองว่า อุบายนี้ มีอยู่. ต่อมา นางจิญจมาณวิกานั้นไปสู่อารามของเดียรถีย์ ไหว้แล้วได้ยืนอยู่. พวกเดียรถีย์ไม่พูดกับนาง. นางจึงคิดว่า เรามีโทษอะไรหนอแล ? แม้พูดครั้งที่ ๓ว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันไหว้ ดังนี้แล้ว จึงพูดว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันมีโทษอะไรหนอแล ? เพราะเหตุอะไร ท่านทั้งหลายจึงไม่พูดกับดิฉัน ? เดียรถีย์. น้องหญิง เจ้าย่อมไม่ทราบซึ่งพระสมณโคดม ผู้เบียดเบียนเราทั้งหลาย เที่ยวทำเราทั้งหลายให้เสื่อมลาภสักการะหรือ ? นางจิญจมาณวิกา. ดิฉันยังไม่ทราบ เจ้าข้า, ก็ในเรื่องนี้ดิฉัน ควรทำอย่างไรเล่า ? เดียรถีย์. น้องหญิง ถ้าเจ้าปรารถนาความสุขแก่เราทั้งหลายไซร้, จงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดมแล้ว ยังลาภสักการะให้ฉิบหายเพราะอาศัยตน. นางกล่าวว่า ดีละ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย, ข้อนี้จงเป็นภาระของดิฉันเอง, ท่านทั้งหลายอย่าคิดแล้ว ดังนี้แล้ว หลีกไป ห่มผ้ามีสีดุจแมลงค่อมทอง มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้นในมือมุ่งหน้าตรงพระเชตวันไปอยู่ ในสมัยเป็นที่ฟังธรรมกถาแห่งชนชาวเมืองสาวัตถีแล้วออกไปจากพระเชตวัน ตั้งแต่กาลนั้น เพราะความที่นางเป็นผู้ฉลาดในมายาของหญิง, เมื่อผู้อื่นถามว่า นางจะไปไหนในเวลานี้ ? จึงกล่าวว่า ประโยชน์อะไรของท่านทั้งหลายด้วยที่ที่เราไป พักอยู่ในวัดของเดียรถีย์ในที่ใกล้พระเชตวัน เมื่อคนผู้เป็นอุบาสกออกจากพระนครแต่เช้าตรู่ ด้วยหวังว่า จักถวายบังคมพระผู้มีพระภาค (นาง) ทำทีเหมือนอยู่ในพระเชตวันเข้าไปสู่พระนคร, เมื่อคนผู้เป็นอุบาสกถามว่า ท่านอยู่ ณ ที่ไหน ?แล้วจึงกล่าวว่า ประโยชน์อะไรของท่านทั้งหลายด้วยที่ที่เราอยู่ โดยกาลล่วงไป ๑ เดือน ๒ เดือน เมื่อถูกถามจึงกล่าวว่า เราอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ในพระเชตวัน ยังความสงสัยให้เกิดขึ้นแก่ปุถุชนทั้งหลายว่า ข้อนั้นจริงหรือไม่หนอ ? โดยกาลล่วงไป ๓-๔ เดือน เอาท่อนผ้าพันท้อง แสดงเพศของหญิงมีครรภ์ ให้เหล่าชนอันธพาลถือเอาว่า ครรภ์บังเกิดขึ้น เพราะอาศัยพระสมณโคดม โดยกาลล่วงไป ๘-๙ เดือน ผูกไม้กลมไว้ที่ท้องห่มผ้าทับข้างบน ให้ทุบหลังมือและเท้าด้วยไม้คางโค แสดงอาการบวมขึ้นมีอินทรีย์บอบช้ำ เมื่อพระตถาคตประทับนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ที่ประดับแล้วในเวลาเย็น, ไปสู่ธรรมสภา ยืนตรงพระพักตร์ของพระตถาคตแล้วกล่าวว่า มหามรณะ พระองค์ (ดีแต่) แสดงธรรม แก่มหาชนเท่านั้น, เสียงของพระองค์ไพเราะ, พระโอษฐ์ของพระองค์สนิท; ส่วนหม่อมฉัน อาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว, พระองค์ไม่ทรงทราบเรือนเป็นที่คลอดของหม่อมฉัน, ไม่ทรงทราบเครื่องครรภบริหารมีเนยใสและน้ำมันเป็นต้น. เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็ไม่ตรัสบอกพระเจ้าโกศล หรืออนาถบิณฑิกะ หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา คนใดคนหนึ่ง แม้บรรดาอุปัฏฐากทั้งหลายว่า ท่านจงทำกิจที่ควรทำแก่นางจิญจมาณวิกานี้, พระองค์ทรงรู้แต่จะอภิรมย์เท่านั้น, ไม่ทรงรู้ครรภบริหาร เป็นเหมือนพยายามจับก้อนคูถปามณฑลพระจันทร์ฉะนั้น ด่าพระตถาคตในท่ามกลางบริษัทแล้ว. พระตถาคต ทรงงดธรรมกถาแล้ว เมื่อจะทรงบันลือเยี่ยงอย่างสีหะ จึงตรัสว่า น้องหญิง ความที่คำอันเจ้ากล่าวแล้ว จะจริงหรือไม่ เราและเจ้าเท่านั้น ย่อมรู้. นางจิญจมาณวิกา. อย่างนั้น มหาสมณะ ข้อนั้น เกิดแล้วโดยความที่ท่านและหม่อมฉันทราบแล้ว.

[เทพบุตรทำลายกลอุบายของนางจิญจมาณวิกา]

 ขณะนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวเธอทรงใคร่ครวญอยู่ ก็ทราบว่า นางจิญจมาณวิกา ย่อมด่าพระตถาคตด้วยคำไม่เป็นจริงแล้วทรงดำริว่า เราจักชำระเรื่องนี้ให้หมดจด จึงเสด็จมากับเทพบุตร ๔ องค์. เทพบุตรทั้งหลายแปลงเป็นลูกหนูกัดเชือกที่ผูกท่อนไม้กลม ด้วยอันแทะทีเดียวเท่านั้น. ลมพัดเวิกผ้าห่มขึ้น. ไม่กลมพลัดตกลงบนหลังเท้าของนางจิญจมาณวิกานั้น. ปลาย เท้าทั้ง ๒ ข้างแตกแล้ว. มนุษย์ทั้งหลายก็พูดว่า แน่ะนางกาลกัณณีเจ้าด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ่มเขฬะลงบนศีรษะ มีมือถือก้อนดินและท่อนไม้ ฉุดลากออกจากพระเชตวัน.

[นางจิญจมาณวิกาถูกแผ่นดินสูบ]

ครั้นในเวลานางล่วงคลองพระเนตรของพระตถาคตไป แผ่นดินใหญ่แตกแยกให้ช่องแล้ว. เปลงไฟตั้งขึ้นจากอเวจี. นางจิญจ-มาณวิกานั้น ไปเกิดในอเวจี เป็นเหมือนห่มผ้ากัมพลที่ตระกูลให้. ลาภสักการะของพวกอัญญเดียรถีย์เสื่อมแล้ว. (แต่กลับ) เจริญแก่พระทศพลโดยประมาณยิ่ง. ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย นางจิญจมาณวิกาด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ควรทักษิณาอันเลิศ ผู้มีคุณอันยิ่งอย่างนี้ ด้วยคำไม่จริง จึงถึงความพินาศใหญ่แล้ว. พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยถ้อยคำอะไรหนอ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยถ้อยคำชื่อนี้, แล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เท่านั้นหามิได้, ถึงในกาลก่อน นางจิญจมาณวิกานั่น ก็ด่าเราด้วยคำไม่จริง ถึงความพินาศแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึงตรัสมหาปทุมชาดกในทวาทสนิบาตนี้ให้พิสดารว่า :- ผู้เป็นใหญ่ไม่เห็นโทษน้อยใหญ่ ของผู้อื่นโดยประการทั้งปวงแล้ว ไม่ทันพิจารณาเห็นเอง ไม่ พึงลงอาชญา.

[พระโพธิสัตว์ถูกทิ้งลงในเหวแต่ไม่ตาย]

 (พระองค์ตรัสว่า) ได้ยินว่า ในกาลนั้น นางจิญจมาณวิกานั้น เป็นผู้ร่วมสามีของพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ทรงนามว่ามหาปทุมกุมาร เป็นอัครมเหสีของพระราชา เชิญชวนพระมหาสัตว์ด้วยอสัทธรรม ไม่ได้ความยินยอมของพระโพธิสัตว์นั้นแล้วทำประการแปลกในตนด้วยตนเอง แสดงอาการลวงว่าเป็นไข้ จึงกราบทูลแด่พระราชาว่า พระราชโอรสของพระองค์ ยังหม่อมฉันผู้ไม่ปรารถนาอยู่ ให้ถึงประการแปลกนี้. พระราชากริ้ว ทิ้งพระมหาสัตว์ไปในเหวเป็นที่ทิ้งโจร. ลำดับนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ในท้องแห่งภูเขา (หุบเขา) รับพระมหาสัตว์นั้นแล้ว ให้ประดิษฐานอยู่ในห้องพังพาน ของพระยานาค. พระยานาคนำพระมหานัตว์นั้นไปสู่ภพนาค ทรงรับรองด้วยราชสมบัติกึ่งหนึ่ง. พระมหาสัตว์นั้นอยู่ในภพนาคนั้นสิ้นปีหนึ่ง ใคร่จะบวช จึงมาสู่หิมวันตประเทศ บวชแล้ว ให้ฌานและอภิญญาบังเกิดแล้ว.

[พระโพธิสัตว์ถวายพระโอวาทแก่พระราชา]

 ต่อมา พรานไพรผู้หนึ่งเห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้ว จึงกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาเสด็จไปสู่สำนักของพระมหาสัตว์นั้นแล้ว มีปฏิสันถารอันพระมหาสัตว์ทำแล้ว ทรงทราบประพฤติเหตุนั้นทั้งหมดทรงเชื้อเชิญพระมหาสัตว์ด้วยราชสมบัติ อันพระมหาสัตว์นั้นถวาย โอวาทว่า กิจด้วยราชสมบัติของหม่อมฉันไม่มี, ก็พระองค์จงอย่าให้ราชธรรม ๑๐ ประการกำเริบ ทรงละการถึงอคติเสียแล้ว เสวยราชสมบัติโดยธรรมเถิด ดังนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงกันแสง เสด็จไปสู่พระนคร จึงตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลายในระหว่าง หนทางว่า เราถึงความพลัดพรากจากบุตรซึ่งสมบูรณ์ด้วยอาจาระอย่างนี้เพราะอาศัยใคร ? อำมาตย์. เพราะอาศัยพระอัครมเหสี พระเจ้าข้า. พระราชา รับสั่งให้จับพระอัครมเหสีนั้นให้มีเท้าขึ้นแล้ว ทิ้งไปในเหวที่ทิ้งโจร เสด็จเข้าไปสู่พระนคร เสวยราชสมบัติโดยธรรม. มหาปทุมกุมารในกาลนั้น ได้เป็นพระมหาสัตว์, หญิงร่วมสามีของพระมารดา ได้เป็นนางจิญจมาณวิกา. พระศาสดา ครั้นทรงประกาศเนื้อความนี้แล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็ขึ้นชื่อว่าบาปกรรม อันบุคคลผู้ละคำสัตย์ซึ่งเป็นธรรมอย่างเอกแล้ว ตั้งอยู่ในมุสาวาท ผู้มีปรโลกอันสละแล้ว ไม่พึงทำย่อมไม่มี ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :- บาปอันชนผู้ก้าวล่วงธรรมอย่างเอกเสีย ผู้มัก พูดเท็จ ผู้มีปรโลกอันล่วงเลยเสียแล้ว ไม่พึงทำ ย่อมไม่มี.

[แก้อรรถ]

 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกธมฺม คือ ซึ่งคำสัตย์.

บทว่า มุสาวาทิสฺส ความว่า บรรดาคำพูด ๑๐ คำ คำสัตย์แม้สักคำหนึ่ง ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด, อันผู้เห็นปานนี้ ชื่อว่าผู้มักพูดเท็จ.

บาทพระคาถาว่า วิติณฺณปรโลกสฺส ได้แก่ ผู้มีปรโลกอันปล่อยเสียแล้ว. ก็บุคคลเห็นปานนี้ ย่อมไม่พบสมบัติ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ มนุษยสมบัติเทพสมบัติ นิพพานสมบัติในอวสาน.

สองบทว่า นตฺถิ ปาป ความว่า ความสงสัยว่าบาปชื่อนี้ อันบุคคลนั้น คือผู้เห็นปานนั้น ไม่พึงทำดังนี้ ย่อมไม่มี.

ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

เรื่องนางจิญจมาณวิกา จบ.



 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น