วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

แปลธรรมบทเรื่องพระจักขุบาล ตอน ๒ (พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ๒๕ พรรษา)



[พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ๒๕ พรรษา]

         ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปวตฺติตวรธมฺมจกฺโก อนุปุพฺเพนาคนฺตฺวา อนาถปิณฺฑิเกน มหาเสฏฺฐินา จตุปณฺณาสโกฏิธนํ วิสฺสชฺเชตฺวา การิเต เชตวนมหาวิหาเร วิหรติ มหาชนํ สคฺคมคฺเค จ โมกฺขมคฺเค จ ปติฏฺฐาปยมาโนตถาคโต หิ มาติปกฺขโต อสีติยา ปิติปกฺขโต อสีติยาติ ทฺเวอสีติญาติกุลสหสฺเสหิ การิเต นิคฺโรธมหาวิหาเร เอกเมว วสฺสาวาสํ วสิ อนาถปิณฺฑิเกน การิเต เชตวนมหาวิหาเร เอกูนวีสติวสฺสานิ วิสาขาย สตฺตวีสติโกฏิธนปริจฺจาเคน การิเต ปุพฺพาราเม ฉพฺพสฺสานีติ ทฺวินฺนํ กุลานํ คุณมหตฺตตํ ปฏิจฺจ สาวตฺถึ นิสฺสาย ปญฺจวีสติวสฺสานิ วสฺสาวาสํ วสิ

 ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงประกาศพระบวรธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว เสด็จไปโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ที่ท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี บริจาคทรัพย์นับได้ ๕๔ โกฏิสร้างถวาย, ทรงสั่งสอนมหาชนให้ตั้งอยู่ในทางสวรรค์และในทางนิพพาน. แท้จริง พระตถาคตเสด็จอยู่จำพรรษา ๆ เดียวเท่านั้นในนิโครธมหาวิหารที่พระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนนี ๘ หมื่นตระกูล, ฝ่ายพระชนก ๘หมื่นตระกูล เข้ากันเป็นแสนหกหมื่นตระกูลสร้างถวาย, เสด็จอยู่จำพรรษา ณ เชตวันมหาวิหาร ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ๑๙ พรรษา, เสด็จจำพรรษา ณ บุพพารามที่นางวิสาขามหาอุบาสิกา บริจาคทรัพย์นับได้ ๒๗ โกฏิสร้างถวาย ๖ พรรษา, ทรงอาศัยที่ตระกูลทั้ง ๒เป็นผู้ใหญ่โดยคุณธรรม เสด็จอยู่จำพรรษาอาศัยกรุงสาวัตถี (เป็นโคจรคาม) ถึง ๒๕ พรรษา ด้วยประการฉะนี้

 [ผู้บำรุงภิกษุสามเณร]

อนาถปิณฺฑิโกปิ วิสาขาปิ มหาอุปาสิกา นิพทฺธํ ทิวสสฺส ทฺเว วาเร ตถาคตสฺส อุปฏฺฐานํ คจฺฉนฺติ คจฺฉนฺตา จ ทหรสามเณรา โน หตฺเถ โอโลเกสฺสนฺตีติ ตุจฺฉหตฺถา น คตปุพฺพาปุเรภตฺตํ คจฺฉนฺตา ขาทนียโภชนียาทีนิ คเหตฺวาว คจฺฉนฺติ ปจฺฉาภตฺตํ คจฺฉนฺตา ปญฺจ เภสชฺชานิ อฏฺฐ จ ปานานินิเวสเนสุ ปน เตสํ ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ ภิกฺขุสหสฺสานํ นิจฺจํ ปญฺญตฺตาสนาเนว โหนฺติอนฺนปานเภสชฺเชสุ โย ยํ อิจฺฉติ ตสฺส ตํ ยถิจฺฉิตเมว สมฺปชฺชติ


 ทั้งท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี ทั้งวิสาขามหาอุบาสิกาย่อมไปสู่ที่อุปัฏฐากพระตถาคตเจ้าวันละ ๒ ครั้งเป็นประจำ. และเมื่อไปไม่เคยมีมือเปล่าไป ด้วยคิดเกรงว่า ภิกษุหนุ่มและสามเณร จักแลดูมือตน. เมื่อไปก่อนเวลาฉันอาหาร ย่อมใช้ให้คนถือของขบเคี้ยวเป็นต้นไป, เมื่อไปภายหลังแต่เวลาฉันอาหาร ใช้ให้คนถือปัญจเภสัช และอัฐบานไป. และในเคหสถานแห่งท่านทั้ง ๒นั้น เขาแต่งอาสนะไว้เพื่อภิกษุแห่งละ ๒ พันรูปเป็นนิตยกาล. พระภิกษุรูปใด ปรารถนาของสิ่งใด จะเป็นข้าวน้ำหรือเภสัช ของนั้นก็สำเร็จแก่พระภิกษุรูปนั้นสมปรารถนา

 [เศรษฐีไม่เคยทูลถามปัญหา]

เตสุ อนาถปิณฺฑิเกน เอกทิวสมฺปิ สตฺถา ปญฺหํ น ปุจฺฉิตปุพฺโพโส กิร ตถาคโต พุทฺธสุขุมาโล ขตฺติยสุขุมาโล พหูปกาโร เม คหปตีติ มยฺหํ ธมฺมํ เทเสนฺโต กิลเมยฺยาติ สตฺถริ อธิมตฺตสิเนเหน ปญฺหํ น ปุจฺฉติสตฺถา ปน ตสฺมึ นิสินฺนมตฺเตเยว อยํ เสฏฺฐิ มํ อรกฺขิตพฺพฏฺฐาเน รกฺขติอหญฺหิ กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสงฺขฺเยยฺยานิ อลงฺกตปฏิยตฺตํ อตฺตโน สีสํ ฉินฺทิตฺวา อกฺขีนิ อุปฺปาเฏตฺวา หทยมํสํ อุปฺปาเฏตฺวา ปาณสมํ ปุตฺตทารํ ปริจฺจชิตฺวา ปารมิโย ปูเรนฺโต ปเรสํ ธมฺมเทสนตฺถเมว ปูเรสึเอส มํ อรกฺขิตพฺพฏฺฐาเน รกฺขตีติ เอกํ ธมฺมเทสนํ กเถติเยว.  

 ในท่านทั้งสองนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ไม่เคยทูลถามปัญหาต่อพระศาสดา จนวันเดียว. ได้ยินว่า ท่านคิดว่า พระตถาคตเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าผู้ละเอียดอ่อน เป็นกษัตริย์ผู้ละเอียดอ่อน เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เรา ด้วยทรงพระดำริว่า คฤหบดีมีอุปการะแก่เรามาก ดังนี้ จะทรงลำบากแล้วไม่ทูลถามปัญหาด้วยความรักในพระศาสดาเป็นอย่างยิ่ง. ฝ่ายพระศาสดา พอท่านเศรษฐีนั่งแล้ว ทรงพระพุทธดำริว่า เศรษฐีนี้รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา, เหตุว่าเราได้ตัดศีรษะของเราอันประดับประดาแล้ว ควักดวงตาของเราออกแล้ว ชำแหละเนื้อหัวใจของเราแล้ว สละลูกเมียผู้เป็นที่รักเสมอด้วยชีวิตของเราแล้ว บำเพ็ญบารมีอยู่ ๔ อสงไขยกับแสนกัลป์ ก็บำเพ็ญแล้วเพื่อแสดงธรรมแก่ผู้อื่นเท่านั้น เศรษฐีนี่รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา, (ครั้นทรงพุทธดำริ) ฉะนี้แล้ว ก็ตรัสพระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่งเสมอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น